ฮวงจุ้ยที่ดีต้องนำคุณธรรมมาแลก แต่เมื่อใดไร้คุณธรรมฮวงจุ้ยนั้นจักต้องเปลี่ยนไปในทางตรงข้ามเสมอ คำสอนนี้ไม่ใช่บรรพบุรุษถ่ายทอดมาให้ท่องกันเล่น ๆ แท้ที่จริงแล้วมีความหมายลึกซึ้ง แน่นอนและสำคัญยิ่งฮวงจุ้ย ดีย่อมประสบความเจริญรุ่งเรืองอย่างเห็นได้ขัดเจน ดังนั้นจะขอแนะนำหลักในการจัดโต๊ะเสริมดวงตามวันเกิดดังต่อไปนี้
ฮวงจุ้ยโต๊ะทำงาน
คนเกิดวันอาทิตย์
ควรจะเสริมดวงชะตาด้วยน้ำ 1 แก้วใหญ่หรือจะใส่ในแจกันแก้วใส วางไว้บนมุมขวามือ ของโต๊ะทำงาน ชั้นวางของข้างหลังที่นั่ง จะเป็นบอนไซ ตะโกดัด หรืออะไรก็ได้ และควรจะมีดินด้วย ตกแต่งเป็นต้นไม้ต้นเล็กๆนำมาวางไว้บนโต๊ะทำงานก็จะสามารถแก้เคล็ดเสริมดวงชะตาให้ดีขึ้นได้เช่นกัน
คนเกิดวันจันทร์
ควรใช้หินอความารีนสักก้อนหนึ่งมาวางบนโต๊ะทำงาน หินจะช่วยส่งคลื่นพลังให้คนรอบข้างจิตใจเย็นลง แก้วใสใส่น้ำและลอยดอกไม้ที่มีสีฟ้า น้ำเงิน หรือ ม่วง ใช้เป็นดอกไม้ผ้าหรือพลาสติกก็ได้จะช่วยบำบัดสถานที่ต่างๆให้คนเกิดวันจันทร์สงบลงคลายความเคร่งเครียด
คนเกิดวันอังคาร
ควรใช้หินสีเขียวสดใส เช่น กรีนอเวนเจอรีน มาวางบนโต๊ะทำงาน จะใช้หินก้อนหรือเป็นแท่งๆก็ได้จะช่วยบำบัดสถานที่ต่างๆหรือถ้วยแก้วใสใส่น้ำและลอยดอกไม้ที่มีสีฟ้า น้ำเงิน หรือ ม่วง ใช้เป็นดอกไม้ผ้าหรือพลาสติก
คนเกิดวันพุธ
ใส่หินอเมทิสต์เอาไว้อย่างน้อย 3-4 ก้อน หรือมากกว่าจะช่วยขจัดปัญหาทั้งกับเพื่อนร่วมงาน ควรวางวางข้าวของเครื่องใช้ที่มีปลายแหลมและมีสีทองไว้บนโต๊ะทำงาน จะเป็นนาฬิกาตั้งโต๊ะหรือถ้วยรางวัลอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้จะเสริมความเข้มแข็งมั่นคง
คนเกิดวันพฤหัส
ควรจะติดภาพวิวทิวทัศน์ที่มีต้นไม้เขียวสดและมีถนนทอดยาวสุดสายตาเอาไว้เบื้องหลังที่นั่งของคุณเพื่อเสริมดวงชะตาควรนำรูปปั้น เช่น รูปปั้นนางฟ้ามีปีก หรือเทวรูปบางอย่าง เช่น พระพิฆเนศ มาวางบนโต๊ะทำงาน จะช่วยเสริมดวงชะตาให้มั่นคงกล้าแข็ง
คนเกิดวันศุกร์
ใส่หินอเมทิสต์เอาไว้อย่างน้อย 6 ก้อน หรือมากกว่าจะช่วยขจัดปัญหาทั้งกับเพื่อนร่วมงานและถ้วยแก้วใสใส่น้ำและลอยดอกไม้ที่มีสีเขียว น้ำเงิน ใช้เป็นดอกไม้ผ้าหรือพลาสติก หรืออาจใช้แจกันดอกไม้สีฟ้าหรือขวดแก้วทรงสูงปักดอกไม้สีฟ้ามาวางบนโต๊ะทำงานหรือชั้นวางของข้างหลังที่นั่ง
คนเกิดวันเสาร์
ควรวางหินคริสตัลควอตซ์ที่เป็นแท่งๆไว้บนโต๊ะทำงานจะเสริมให้จิตใจและอารมณ์เย็นลงหรืออาจใช้แจกันดอกไม้สีแดงหรือขวดแก้วทรงสูงปักดอกไม้สีแดงมาวางบนโต๊ะทำงานหรือชั้นวางของข้างหลังที่นั่ง
บทความ : อ. ตั้ม ศรีนเรศพยากรณ์